รวมรถยนต์ไฮไลท์เด่น Bangkok International Motor Show 2018

0

Highlight Cars in
The 39th Bangkok International Motor Show 2018
รวมรถยนต์ไฮไลท์เด่น ที่น่าสนใจ
ในงาน
บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39

Content : Highlight Cars
Event : The 39th Bangkok International Motor Show 2018
Detail : The biggest automotive exhibition and trade show in ASEAN and the first motor show event in Thailand since 1979, organized by Grand Prix International Public Company Limited.
Theme : “Revolution in Motion” – Through advancement and development in automotive technology, an automobile has evolved beyond a vehicle. For more than 130 years, automotive innovations have been continuously revolutionized to enhance safety, efficiency, performance and comfort for today’s automobiles. It is undeniable that these innovations have played an important role and fulfilling the needs in our daily life. Leading the world of automotive innovation.
Event Date : 28 March – 8 April 2018
Time
: Mon – Fri 12.00am – 10.00pm / Sat – Sun 11.00am – 10.00pm
Venue : Challenger Hall 1-3, IMPACT Muang Thong Thani
Ticket Fee : 100 Baht

“บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” งานแสดงยานยนต์อันดับ 1 ของไทย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นหนึ่งในงานแสดงยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลก ด้วยมาตรฐานการจัดงานระดับสากล จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ภายใต้แนวคิด “ปฏิวัติทุกการเคลื่อนไหว” หรือRevolution in Motion” จัดขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2560 ตั้งแต่เวลา 12.00น. – 22.00น. สำหรับวันธรรมดา และ 11.00น. – 22.00น. ในวันหยุด ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ในปีนี้มีแบรนด์รถยนต์เข้าร่วมงานกว่า 30 แบรนด์ และรถจักรยานยนต์อีก 15 แบรนด์ รวมทั้งยังได้รับความร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบการชิ้นส่วน, อุปกรณ์ตกแต่ง จากประเทศจีน มาร่วมงานเป็นครั้งแรกอีกด้วย มาดูกันว่าภายในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” มีรถยนต์ที่น่าสนใจอะไรบ้าง

รถยนต์ต้นแบบ (Concept Car)

มาเริ่มด้วย “รถยนต์ต้นแบบ” หรือ “Concept Car” ที่นำมาแสดงในงาน ซึ่งปีนี้ในส่วนของรถยนต์มี 2 คันจาก 2 ค่าย ได้แก่ Mitsubishi EX Concept และ Fomm AWD Sport Concept

Mitsubishi EX Concept

Mitsubishi EX Concept

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เป็นค่ายรถยนต์เพียงหนึ่งเดียวในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 ที่นำรถยนต์ต้นแบบข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้คนไทยได้สัมผัสและเรียนรู้ถึงเทคโนโลยีด้านยานยนต์ในอนาคต โดยรถคันนี้ถูกเผยโฉมออกมาครั้งแรกในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ เมื่อปี 2016

มิตซูบิชิ อีเอ็กซ์ คอนเซปต์ (Mitsubishi eX Concept) คือ วิสัยทัศน์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในการพัฒนารถอเนกประสงค์แห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ ด้วยเอกลักษณ์การออกแบบที่โดดเด่นแบบ Dynamic Shield ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เน้นเส้นสายความรู้สึกแบบสปอร์ตครอสโอเวอร์ รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวและปราดเปรียว พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางการสร้างสรรค์รถอเนกประสงค์ในอนาคต

อีเอ็กซ์ คอนเซปต์ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ ใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุสูงและเต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ พร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงที่ทำให้ระบบขับเคลื่อนทั้งหมดมีน้ำหนักเบาและประหยัดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีระยะทางขับเคลื่อนอยู่ที่ 400 กม. ด้วยระบบ Twin Motor 4WD และ S-AWC

มุมมองด้านหน้าและหลังของ Mitsubishi EX Concept

รถเอสยูวีรุ่นต้นแบบใหม่ล่าสุดนี้ มอบสมรรถนะการขับขี่และการควบคุมที่เหนือกว่า นอกจากนี้ยังมีระบบขับขี่อัตโนมัติผสานกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ใช้ระบบการจัดการข้อมูลรุ่นใหม่ล่าสุดและเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย

ภายในห้องโดยสารของ อีเอ็กซ์ คอนเซปต์ ใช้สีเบาะที่นั่งคู่หน้าที่แตกต่างกันเพื่อสร้างบรรยากาศที่แตกต่างระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสาร การออกแบบภายในเน้นความกว้างขวาง โฉบเฉี่ยวและหรูหรา พร้อมเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง หรือเออาร์ (Augmented reality) บนกระจกหน้า เพื่อแสดงข้อมูลการขับขี่ระบบนำทางผ่านดาวเทียม

การแจ้งเตือนระยะห่างระหว่างรถยนต์ ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา และข้อมูลจากป้ายสัญญาณจราจรผ่านระบบตรวจจับด้วยกล้อง กระจกหน้ายังมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบติดตามการแจ้งเตือน (Caution Tracking) ซึ่งมีเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ด้วยระบบสื่อสารระหว่างรถยนต์กับรถยนต์ (vehicle-to-vehicle) รถยนต์กับถนน (vehicle-to-road) และรถยนต์กับคนเดินถนน (vehicle-to-pedestrian) เพื่อแสดงสัญญาณแจ้งเตือนและระบบแนะนำการขับขี่

อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญคือหน้าจออัจฉริยะ (Intelligent Display) ที่เป็นศูนย์กลางแสดงข้อมูลการขับขี่ตลอดการเดินทาง ผู้ขับขี่สามารถค้นหาข้อมูลผ่านสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลผ่านระบบประมวลผลแบบคลาวด์ ขณะที่ฟังก์ชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยแนะนำการใช้งานจากการเรียนรู้พฤติกรรมและความสนใจส่วนตัวของผู้ขับขี่

มิตซูบิชิ อีเอ็กซ์ คอนเซปต์ แสดงให้เห็นถึงแนวคิดรถอเนกประสงค์แห่งอนาต ด้วยการผสานเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่เข้ากับความเป็นเลิศทางวิศวกรรม เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ด้านยานยนต์เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะสำหรับรถอเนกประสงค์แห่งอนาคต

Fomm AWD Sport Concept

Fomm AWD Sport Concept

Fomm (First One Mile Mobility) เป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมงานบางกอก มอเตอร์โชว์ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นค่ายที่กำลังได้รับการจับตามองพอสมควรกับการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเปิดตัว Fomm One รถไฟฟ้าขนาดจิ๋ว 4 ที่นั่ง ไปเมื่อปี 2014

สำหรับความน่าสนใจของ Fomm กับการเข้าร่วมงานในปีนี้คือ การนำคอนเซปต์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะทำการอวดโฉมไปในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ นั่นก็คือ Fomm AWD Sport Concept เข้ามาเปิดตัวสู่สายตาสาธารณชนชาวไทยอย่างเป็นทางการ

Fomm AWD Sport Concept

Fomm AWD Sport Concept คือรถพลังงานไฟฟ้าแบบขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดกะทัดรัด 2 ที่นั่ง ด้วยขนาดตัวถังมีความยาวอยู่ที่ 3,300 มิลลิเมตร กว้าง 1,490 มิลลิเมตร และสูงเพียง 1,255 มิลลิเมตร การออกแบบกระจังหน้าได้รับแรงบันดาลใจจากการแต่งหน้าแบบคาบูกิ เป็นรถแบบเปิดประทุน ดีไซน์สปอร์ต ทันสมัย ไฟหน้าเป็นแบบ LED ประตูเปิดข้างแบบกรรไกร เส้นสายดูเรียบง่ายลงตัว

ส่วนการตกแต่งภายในเลือกใช้วัสดุเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนแผงคอนโซลดูล้ำสมัยสวยงาม พวงมาลัยทรงสปอร์ตขนาดใหญ่ ด้านเบาะหนังผสมผสานกันระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์และหนังแบบ Alcantara ดูล้ำสมัยมากขึ้นด้วยชุดจอแสดงผลดิจิทัลแบบไวด์สกรีน

ด้านของมอเตอร์ไฟฟ้า ผลิตกำลังรวม 27 แรงม้า (20 กิโลวัตต์) และแรงบิด 1,120 นิวตันเมตร (825 ปอนด์ฟุต) มีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 4 ก้อน ซึ่งแต่ละรุ่นมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 2.96 กิโลวัตต์ โดยในการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง สามารถวิ่งได้ไกลถึง 160 กิโลเมตร

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicles – EV)

สำหรับรถยนต์ไฮไลท์เด่นในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” คงต้องยกให้กับ “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” ที่กำลังเป็นเทรนใหม่ของยานยนต์แห่งอนาคต ที่เริ่มเป็นผลิตภัณฑ์ใช้งานจริงออกสู่ตลาดแล้ว ซึ่งในงานนี้มีการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาแสดงถึง 4 ค่าย ได้แก่ MINE Mobility, BYD, Fomm และ Takano

MINE Mobility

MINE Mobility – City EV

รถยนต์ไฟฟ้า อีกหนึ่งทิศทางในอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ที่กำลังก้าวสู่สนามแข่งขันในด้านเทคโนโลยี ซึ่งแต่ละค่าย ก็ต่างระดมความคิด เพือการค้นคว้า วิจัย และพัฒนา ซึ่งในอนาคตอันใกล้ รถยนต์ไฟฟ้า EV จะเข้ามามีบทบาท และ จะมาแทนที่พาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเชื้อเพลิงภายใน อย่างแน่นอน

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จากฝีมือการออกแบบและพัฒนาของทีม R&D ของบริษัทซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยทั้งหมด กับความมุ่งมั่นทำงานกันมาตั้งแต่ปี 2560 จนในช่วงปลายปีเดียวกัน ก็ได้จัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นในชื่อ บริษัท ไมน์ โมบิลิตี รีเสิร์ช จำกัด (หรือ MINE Mobility Research Co., Ltd.) เพื่อพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการพัฒนาฟังก์ชั่นต่างๆ ให้สอดรับกับความต้องการของผู้ใช้งาน ก่อนที่จะเริ่มผลิตและจำหน่าย MINE Mobility รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทยของเครือ EA ให้ออกสู่ท้องตลาดในอนาคต

MINE Mobility – Sport EV (ซ้าย) และ MPV EV (ขวา)

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการยื่นแพ็กเกจขอส่งเสริมการลงทุนต่อบีโอไอ ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ “อีวี” โดยตั้งฐานการผลิตที่บลูเทคซิตี้ จ.ฉะเชิงเทรา โดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศกว่า 80%รวมถึงแบตเตอรี่ของทางบริษัทเอง พร้อมขึ้นสายพานการผลิตเพื่อการจำหน่ายจริงในปีหน้า

การเผยโฉมรถต้นแบบในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ เพื่อต้องการสำรวจความต้องการของลูกค้า เพื่อนำข้อมูลที่ได้ กลับไปวางแผนพัฒนาต่อไป ในส่วนของฝ่ายบริการลูกค้าทั้งก่อน และหลังการขาย ทางบริษัทจะทำการตั้งบริษัทลูก เพื่อให้บริการ และดูแลลูกค้า

MINE รถไฟฟ้าสัญชาติไทย ที่พัฒนาโดยคนไทย ดังนั้นบริษัทอยากทำรถให้คนไทยเป็นเจ้าของได้ง่าย อย่างรุ่นซิตี้ (ตัวถังแฮทช์แบ็ก) จะมีราคาขายจะไม่เกิน 6 แสนบาท รุ่นเอ็มพีวีไม่เกิน 1 ล้านบาท เริ่มส่งมอบได้ปลายปีหน้า

BYD

BYD E6

ค่ายรถยนต์น้องใหม่และยังเป็นโปรดักต์ใหม่ที่มาพร้อมกับกระแสของรถไฟฟ้าที่กำลังร้อนแรง เมื่อทาง เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี และ ชาริช โฮลดิ้ง ใหม่ ตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ ชื่อ “ไรเซน เอนเนอร์จี นำเข้าแบรนด์ “บีวายดี” (BYD) จากประเทศจีนมาทำตลาดในประเทศไทย

ไฮไลท์สำคัญ คือ การเตรียมเปิดตัว BYD E6 ยานยนต์ไฟฟ้า 100% โดดเด่นที่ความสะดวกสบาย ประหยัด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง รถสามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาในการชาร์จเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

BYD E6 วางราคาจำหน่าย 1.89 ล้านบาท เป็นรถอเนกประสงค์ 5 ประตู ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร แบตเตอรี่เป็นแบบ Lithium Iron Phosphate ขนาดความจุ 80 กิโลวัตต์ ความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. โดยมีการรับประกันมอเตอร์และเกียร์ 5 ปี /150,000 กม. และรับประกันแบตเตอรี่ระยะเวลาถึง 5 ปี /500,000 กม.

ผลิคภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ของ BYD

ทั้งนี้เป้าหมายในการลุยตลาดจะมุ่งไปที่การรองรับบริการรถสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น รถแท็กซี่ และรถเมล์ รวมถึงรถประเภทพิเศษอย่างรถลากกระเป๋าในสนามบิน และรถโฟล์คลิฟต์ที่ใช้ยกของในโกดัง ซึ่ง BYD มีรถยนต์ไฟฟ้าครบทุกรูปแบบดังที่กล่าวมา

Fomm One

Fomm One

Fomm (First One Mile Mobility) ค่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมากับการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก Fomm One รถไฟฟ้าขนาดจิ๋ว 4 ที่นั่ง ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2014

Fomm One ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าขนาด 4 ที่นั่ง มาพร้อมมิติของตัวถังที่มีความยาว 2,585 มิลลิเมตร กว้าง 1,295 มิลลิเมตร และสูง 1,560 มิลลิเมตร ความกว้างของฐานล้อ 1,760 มิลลิเมตร ส่วนที่ต่ำที่สุดสูงจากพื้น 140 มิลลิเมตร น้ำหนักของตัวรถอยู่ที่ 445 กิโลกรัม และขยับขึ้นเป็น 630 เมื่อรวมกับแบตเตอรี่ รองรับน้ำหนักรวมสูงสุดได้ 975 กิโลกรัม

ระบบรองรับแรงกระแทกด้านหน้าเป็นแบบดับเบิ้ลวิชโบน ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์ มาพร้อมล้อแม็กและยางขนาด 145/65R15 ทั้ง 4 ล้อ วงเลี้ยวแคบสุดที่ 3,800 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ ที่ 170-800 รอบ/นาที ซึ่งติดตั้งไว้ที่บริเวณล้อทั้ง 4 มาพร้อมแรงบิด 560 นิวตันเมตร ที่ 0-170 รอบ/นาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 85 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยแบตเตอรี่ทั้ง 4 ลูกมาพร้อมความจุ 2.96 กิโลวัตต์ ซึ่งใช้เวลาชาร์จต่อครั้งราว 6 ชั่วโมง โดยผู้ผลิตได้เคลมไว้ว่าสามารถวิ่งได้ระยะทางทั้งสิ้น 160 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และมีอัตราการบริโภคพลังงานที่ 14.8 กิโลเมตร/กิโลวัตต์

พร้อมจำหน่ายในประเทศไทย เปิดตัวพร้อมราคา ในงาน บางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 ด้วยราคาเปิดตัวที่ 664,000 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่จอง 2,000 คันแรก ราคา 599,900 บาท

Takano Cars

Takano Cars

Takano Auto Thailand นำรถไฟฟ้าในรูปแบบที่เป็นปิกอัพสปอร์ตขนาดเล็ก ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนมาจัดแสดงโชว์ เทคโนโลยีที่ใช้เป็นแบบมาตรฐานญี่ปุ่นซึ่งจะเน้นยานพาหนะที่คล่องตัวทั้งการขับขี่และใช้งานได้จริง ที่สำคัญมีความทันสมัยปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม โดยสามารถวิ่งได้ระยะทาง 90 -110 กิโลเมตร เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม ส่วนเวลาในการชาร์จนั้นก็ประมาณ 8 ชั่วโมง และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มิติของตัวถัง (ยาวxกว้างxสูง) 3,220 x 1480 x1450 มิลลิเมตร  ฐานล้อกว้าง 2150 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 710 กิโลกรัม ความสูงใต้ท้องรถ 205 มิลลิเมตร ส่วนราคาตอนนี้ยังไม่มีราคาอย่างชัดเจน เพราะอยู่ในระหว่างดำเนินการยื่นขอกับกระทรวงอุตสาหกรรม แต่คาดว่าเมื่อผ่านมาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว ราคาจะตั้งไว้ที่ประมาณ 3 แสนบาทบวกลบ

รถยนต์รุ่นใหม่ ไฮไลท์เด่น มอเตอร์โชว์ 2018

สำหรับ “รถยนต์รุ่นใหม่” และ “รถยนต์ไฮไลท์เด่น” ของแต่ละค่าย ที่นำมาแสดงในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” มีหลายคัน หลายค่าย มีคันใดบ้างนั้น ไปชมได้ดังนี้เลย

FORD Ranger Raptor

FORD Ranger Raptor

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้รับการออกแบบ, ผลิต และทดสอบ จากทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ หวังที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนต์ตลาดรถกระบะ ในฐานะรถกระบะสมรรถนะสูงของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ออกแบบมาเพื่อนักขับขี่สไตล์ออฟโรดตัวจริง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการส่งมอบรถกระบะสายพันธุ์เกิดมาแกร่งให้กับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดราคาจำหน่ายในไทย 1,699,000 บาท

แชสซีได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูงและทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการขับขี่โดยเฉพาะ ส่งผลให้รูปลักษณ์ของตัวรถดูใหญ่ขึ้นในทุกมิติ มาพร้อมความสูงถึง 1,873 มิลลิเมตร ความกว้าง 2,180 มิลลิเมตร และความยาว 5,398 มิลลิเมตร ระยะช่วงล้อหน้าและหลังกว้างขึ้นเป็น 1,710 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 283 มิลลิเมตร มาพร้อมมุมไต่ที่ 32.5 องศา มุมคร่อมที่ 24 องศา และมุมจากที่ 24 องศา

มาพร้อมกับแผงกันกระแทกด้านล่างอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ช่วยปกป้องห้องเครื่องจากการกระแทก ผลิตจากเหล็กกล้าที่หนาถึง 2.3 มิลลิเมตร และมีความทนทานสูงตามมาตรฐานของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ สอดรับกับแผงกันชนหน้าสีเงิน ทั้งยังมีชุดกันกระแทกด้านล่างที่ป้องกันเครื่องและระบบส่งกำลัง โดยทั้ง 3 ส่วนนี้จะช่วยปกป้องชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ อาทิ หม้อน้ำ, ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า, ชุดสายพานหน้าเครื่อง, คานล่างด้านหน้า, อ่างน้ำมันเครื่อง และชุดเฟืองขับส่วนหน้า

ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง 500 นิวตันเมตร ทั้งยังประหยัดน้ำมันเพิ่มมากขึ้นด้วยน้ำหนักที่น้อยลง รวมถึงระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ซึ่งผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า, อะลูมิเนียมอัลลอย และคอมโพสิท ประสานการทำงานของเครื่องยนต์, ระบบเกียร์, เพลา, พวงมาลัย, เบรก และระบบควบคุมพวงมาลัยแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตอบสนองการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ

BMW X2

BMW X2 sDrive20i M Sport X

สมาชิกใหม่ในตระกูล X ของบีเอ็มดับเบิลยู มาในรูปทรงโฉบเฉี่ยวภายใต้ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ผสานสไตล์สปอร์ตคูเป้เข้ากับความแข็งแกร่งในรูปแบบของยนตรกรรมตระกูล X ทั้งยังสร้างมิติให้รถดูกว้างยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าไตคู่ที่มีรูปทรงส่วนฐานล่างกว้างกว่าด้านบน โดย BMW X2 ยังเป็นรุ่นแรกในตระกูล X ที่มีตราใบพัดสีฟ้าอยู่บน C-pillar ในดีไซน์ที่คล้ายกับรถระดับตำนานของบีเอ็มดับเบิลยู อย่าง 2000 CS และ 3.0 CSL โดยบีเอ็มดับเบิลยู X2 เสริมความสปอร์ตด้วยชุดแต่ง M Sport X โดดเด่นด้วยสเกิร์ตและซุ้มล้อสี Frozen Grey ที่ตัดกับสีตัวถัง เติมเต็มด้วยท่อไอเสียแบบคู่และล้ออัลลอยลาย Y-spoke ขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 4 สูบ รีดพละกำลัง 192 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัต Steptronic คลัตช์คู่ 7 จังหวะ ทำความเร็วสูงสุด 227 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมด้วยโหมดการขับขี่รูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถเปลี่ยนผ่านปุ่ม Driving Experience Control โดยบีเอ็มดับเบิลยู X2 มีให้เลือก 3 โหมด เริ่มจาก COMFORT ซึ่งเป็นการขับขี่แบบปกติ รวมถึงโหมดประหยัดพลังงานอย่าง ECO PRO และโหมด SPORT เพื่อการตอบสนองที่ยอดเยี่ยมทั้งในเรื่องของพละกำลังและการควบคุมรถที่เฉียบคมมากยิ่งขึ้น

หลังคากระจกแบบ Panorama สองส่วน เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของบีเอ็มดับเบิลยู X2 โดยส่วนหน้าสามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ภายในเสริมการใช้งานด้วยหน้าจอ Control Display ขนาด 8.8 นิ้ว ปุ่มควบคุม iDrive พร้อมระบบสัมผัส รวมถึง BMW Head-Up Display แสดงข้อมูลที่กระจกหน้าฝั่งคนขับ เสริมความสปอร์ตด้วยชุดแต่งภายใน M Sport X เบาะผ้า Micro Hexagon และ Alcantara สีดำแอนทราไซต์ ตอบโจทย์การใช้งานด้วยพื้นที่เก็บของความจุสูงสุด 470 ลิตร สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2.999 ล้าบบาท

BMW M5

BMW M5

ครั้งแรกของบีเอ็มดับเบิลยู M5 ที่มาพร้อมกับ M xDrive ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่สร้างมาตรฐานใหม่ด้านสมรรถนะให้กับตลาดรถซีดานประสิทธิภาพสูง โดยบีเอ็มดับเบิลยู M5 เจนเนอเรชั่นที่ 6 นี้ มอบประสิทธิภาพความคล่องตัวสูงสุดด้วยการเน้นส่งกำลังขับเคลื่อนจากล้อหลัง ควบคู่กับการเพิ่มกำลังส่งจากล้อหน้าในกรณีที่พละกำลังขับเคลื่อนจากล้อหลังไม่เพียงพอและต้องการแรงฉุดลากที่เพิ่มขึ้น แม้ในสภาวะการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบขับเคลื่อน M xDrive ก็ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมขุมพลังบีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่นี้ ได้อย่างแม่นยำและง่ายดายยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกตั้งค่าลักษณะการขับได้อย่างหลากหลายตามความต้องการถึง 5 โหมดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโหมดการขับขี่ด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพแบบไดนามิก (หรือ DSC ที่สามารถเลือกเปิดหรือปิดระบบ DSC หรือเลือกการขับขี่ด้วยโหมด M Dynamic)  และยังสามารถเลือกการขับขี่ด้วยระบบ M xDrive ซึ่งแบ่งเป็นโหมด 4WD, 4WD Sport และ 2WD ที่ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสความแรงเร้าใจด้วยความคล่องตัวสูงสุดบนท้องถนน รวมทั้งระบบเฟืองท้าย Active M ที่มอบเสถียรภาพการกระจายกำลังอย่างเต็มสมรรถนะ ป้องกันการลื่นไถลเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง โดยช่วยลดความแตกต่างของความเร็วรอบระหว่างล้อหลัง

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ความสปอร์ตอันโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่นี้ คือปุ่ม M1 และ M2 สีแดงสองปุ่ม ซึ่งอยู่ติดกับระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนการตั้งค่าระบบต่าง ๆ ตามที่ต้องการได้ถึง 2 แบบเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าระบบ M xDrive ระบบควบคุมเสถียรภาพแบบไดนามิก (DSC) ระบบเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ระบบระบายอากาศ ระบบการควบคุมพวงมาลัยไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งการตั้งค่ารูปแบบของการแสดงผลบน Head-Up Display

บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ M TwinPower Turbo แบบ V8 ความจุ 4.4 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 600 แรงม้า ที่ 5,600 – 6,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 5,600 รอบต่อนาที มาคู่กับเกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบ Drivelogic สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.4 วินาที และ 0 – 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 11.1 วินาที โลดแล่นด้วยความเร็วสูงสุดที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิคส์ไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาจำหน่าย 13,339,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW M4

BMW M4 Coupe

บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ เป็นรถยนต์รุ่นพิเศษในตระกูล M ที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัด พร้อมสานต่อตำนานแห่งสมรรถนะของบีเอ็มดับเบิลยู M ด้วยสไตล์การขับขี่สุดสปอร์ต แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง 6 สูบ ความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตร ด้วยเทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 460 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ M แบบคลัตช์คู่ 7 จังหวะ พร้อมระบบ Drivelogic เพื่อการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วภายในเสี้ยววินาที ด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ paddle shift บนพวงมาลัย และยังมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ที่สามารถทำงานในโหมดพิเศษ M Dynamic (MDM) เพื่อความเพลิดเพลินสูงสุดในการขับขี่ และระบบเฟืองท้าย Active M ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ 3 โหมดด้วยกัน (Comfort, Sport and Sport+) เพียงแค่สัมผัสปุ่ม เพื่อปรับให้ตัวรถตอบสนองต่อทุกการควบคุมในแบบที่ต้องการ สอดรับกับลักษณะของเส้นทางอย่างลงตัว

รูปโฉมของบีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ สะท้อนถึงความสปอร์ตเร้าใจ ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่นจากกระจังหน้าที่มาคู่กับช่องดักอากาศขนาดใหญ่ 3 ช่อง เข้ากันกับไฟหน้า LED คู่ดีไซน์ทันสมัย กระโปรงหน้าและหลังคาทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาพิเศษ ดีไซน์ด้วยเส้นสายสไตล์คูเป้ โฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่งแบบ M และเสริมความดุดันด้วยรูปทรงซุ้มล้ออันทรงพลังที่สร้างอารมณ์สุดเร้าใจได้ แม้ในยามที่ตัวรถยังหยุดนิ่งอยู่ ภายในสร้างลุคสปอร์ตเต็มพิกัด ด้วยเบาะที่นั่งน้ำหนักเบาแบบ M Sport หุ้มหนังแท้สลับ Alcantara พนักพิงหลังปรับความกว้างได้ เข็มขัดนิรภัยลาย M พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Alcantara ดีไซน์ M พร้อมก้านเปลี่ยนเกียร์ ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ จะมีให้เลือกเป็นเจ้าของได้ในสีพิเศษจาก BMW Individual อีกด้วย โดยมีราคาจำหน่ายที่ 11,439,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW X3

BMW X3 xDrive20d M Sport

บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport ใหม่ ยังคงเอกลักษณ์ความแข็งแกร่งบนท้องถนนและลุคสปอร์ตปราดเปรียวไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยรุ่น M Sport นี้มาพร้อมกับล้ออัลลอย M ลาย Double-spoke ขนาด 19 นิ้ว เสริมความสะดุดตาด้วยชุดตกแต่งรอบคันดีไซน์ M Aerodynamics และขอบหน้าต่างสีดำเงา ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วย Aluminium Rhombicle  ตัดกับ Pearl Chrome พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ M Sport แป้นเปลี่ยนเกียร์ และยังเสริมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ และกล้องมองหลัง เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและแม่นยำในทุกเส้นทาง

บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport ใหม่ยังมาพร้อมช่วงล่าง M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลทรงพลัง 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Steptronic ให้กำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 8 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.6 กิโลเมตรต่อลิตร และระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ยที่ 150 กรัมต่อกิโลเมตร มาพร้อมปุ่มควบคุม iDrive และสั่งงานด้วยระบบสัมผัส จอแสดงผลภาพความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ระบบการสั่งงานอัจฉริยะ BMW Gesture Control ที่สามารถควบคุมระบบนำทางและระบบบันเทิงสื่อสาร ผ่านการเคลื่อนไหวของมือ และการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานโดยใช้ภาษาพูดในชีวิตประจำวันแทนที่การใช้ชุดคำสั่งที่กำหนดมา นอกจากนี้ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารยังสามารถเพลิดเพลินกับระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon เพื่อการเดินทางที่สุนทรีย์ยิ่งขึ้น สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,799,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW 118i

BMW 118i M Sport (M Performance Edition)

บีเอ็มดับเบิลยู 118i M Sport รถยนต์ 5 ประตูที่กลับมาพร้อมความเร้าใจมากยิ่งขึ้นในรุ่น M Performance Edition เพิ่มลุคสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ของเวอร์ชั่น M Sport พร้อมเสริมชุดแต่งรอบคันดีไซน์ M และขอบหน้าต่างสีดำเงา รวมทั้งอุปกรณ์มาตรฐานอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้ว ลาย Double-spoke สีดำ Jet Black และระบบไฟส่องสว่างเมื่อปลดล็อก ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ที่กำลังสูงสุด 136 แรงม้า สามารถเร่งความเร็งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 8.7 วินาที ด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 20.0 กิโลเมตรต่อลิตร และระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ย 118 กรัมต่อกิโลเมตร ช่วงล่างแบบ M Sport ยังช่วยเสริมสมรรถนะ การขับขี่ที่ปราดเปรียวยิ่งขึ้นตามแบบฉบับของ M Performance สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2,099,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW 530i Touring M Sport

BMW 530i Touring M Sport

บีเอ็มดับเบิลยู 530i Touring M Sport ใหม่ เป็นรถยนต์หรูที่มอบประโยชน์ใช้สอยแบบรอบด้านด้วยพื้นที่มากมายภายในห้องโดยสาร พร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบการเชื่อมต่อล้ำสมัย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร กำลังสูงสุด 185 กิโลวิตต์/252 แรงม้า และสามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 6.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ด้วยมิติของตัวรถที่ยาวขึ้น 36 มิลลิเมตร (4,942 มิลลิเมตร) กว้างขึ้น 8 มิลลิเมตร (1,868 มิลลิเมตร) และสูงขึ้น 10 มิลลิเมตร (1,498 มิลลิเมตร) เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ทันสมัยกว่าเดิม ด้วยไฟหน้าที่เชื่อมต่อเข้ากับกระจังหน้าทรงไตคู่อย่างกลมกลืน และระบบ Active Air Flap แผ่นปิดด้านในกระจังหน้าไตคู่ ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อประสิทธิภาพในการระบายอากาศที่ดียิ่งขึ้น เสริมความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยท่อไอเสียทั้งสองด้าน

สามารถบรรจุของได้มากกว่ารุ่นก่อนถึง 30 ลิตร ด้วยความจุสัมภาระถึง 570 – 1,700 ลิตร อุปกรณ์พื้นฐานอื่น ๆ ของตัวรถยังรวมถึงระบบเปิด-ปิดบานประตูท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า  ระบบปลดล๊อคประตูอัจฉริยะ (Comfort access system) ให้สามารถเปิดปิดประตูท้ายได้ด้วยการยื่นเท้าไปใต้ท้ายรถโดยไม่ต้องใช้มือ และเพิ่มความสามารถในการบรรจุของด้วยเบาะที่นั่งด้านหลังแบบพับได้ 40:20:40 มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อประโยชน์ในการใช้งานสูงสุด ด้วยระบบอัตโนมัติต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ขับขี่ เช่น เซ็นเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control) กล้องแสดงภาพด้านหลัง (Rear view camera) ระบบควบคุมความเร็วคงที่ พร้อมฟังก์ชั่นช่วยลดความเร็ว (Cruise control) และระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side impact protection) อีกทั้งยังมีจอแสดงผลภาพสี LCD พร้อมหน้าจอสัมผัส ขนาด 10.25 นิ้ว ปุ่มควบคุม iDrive พร้อมการสั่งงานด้วยระบบสัมผัส ระบบการสั่งงานอัจฉริยะ ผ่านการเคลื่อนไหวของมือ (BMW gesture control) หน้าปัดมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอลเต็มรูปแบบ ขนาด 12.3 นิ้ว และการเชื่อมต่อและชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 4,539,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

Mini John Cooper Work Clubman

Mini John Cooper Work Clubman

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คลับแมน สมรรถนะแบบสปอร์ตจากมินิ กับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อหรือ ALL4 เจเนอเรชั่นล่าสุด ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ทำงานด้วยเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 6.3 วินาที รวมถึงเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 สปีด ให้คุณขับขี่ได้คล่องตัว ตอบสนองฉับไวทุกโจทย์การขับขี่ พร้อมท้าทายบนท้องถนน ขุมพลังใหม่ของมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ถือเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดที่มินิเคยออกมาสู่ตลาด

นอกจากนี้ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คลับแมน ยังมีเอกลักษณ์รูปแบบเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น ชุดแต่งแอโรไดนามิกส์ ล้ออัลลอยแบบ John Cooper Works Course Spoke two-tone ขนาด 19 นิ้ว พร้อมดีไซน์และแต่งในสไตล์ John Cooper Works ทั้งภายนอกภายใน พวงมาลัยหนังแท้พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น รวมถึงเบาะสปอร์ตพิเศษ John Cooper Works ระบบแสดงผล Head-Up Display และจอขนาด 8.8 นิ้วที่อยู่บริเวณกลางแผงคอนโซลรถมาพร้อมระบบสัมผัส (ทัชสกรีน) ใหม่ล่าสุด ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,548,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

Mini John Cooper Work Countryman

Mini John Cooper Work Countryman

มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน ใหม่ เป็นรถยนต์เอนกประสงค์ พรีเมียม คอมแพ็ค ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบสปอร์ตได้อย่างสมบูรณ์แบบ สะท้อนจิตวิญญาณรถแข่งโกคาร์ทอันเป็นเอกลักษณ์ของมินิ ด้วยเครื่องยนต์ทรงพลัง ระบบช่วงล่าง และชุดแอโรไดนามิกส์ ในแบบฉบับจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อหรือ ALL4 และขุมพลังจากเทคโนโลยี มินิ Twin Power Turbo มอบความเร็วเร้าใจ ด้วยกำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6.5 วินาที ในความเร็วสูงสุด 234 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,450 – 4,500 รอบต่อนาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 14.2 กิโลเมตรต่อลิตร ระดับการปล่อย CO2 อยู่ที่ 161 กรัมต่อกิโลเมตร ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบสปอร์ตพร้อมแป้น paddle shift บนพวงมาลัย มอบสมรรถนะรวดเร็วทันใจ ขับขี่ได้คล่องตัวทุกความท้าทายในทุกสภาพท้องถนน

ดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นบ่งบอกถึงสมรรถนะความสปอร์ตและความปราดเปรียว ล้ออัลลอยแบบ John Cooper Works Course Spoke ขนาด 19 นิ้ว และเอกลักษณ์จานเบรคสีแดง พร้อมด้วยโลโก้จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ และชุดแอโรไดนามิกส์ มอบความรู้สึกทรงพลังแก่รถยนต์มินิเจเนอเรชั่นใหม่นี้ ภายในยังพกพาชุดแต่งในตระกูลจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ขนานแท้ที่ทำให้การขับขี่ในวันธรรมดาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจราวกับอยู่ในสนามแข่ง ด้วยที่นั่งแบบยกสูงและดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากรถแข่ง ทั้งพวงมาลัยหนังแท้และเบาะสปอร์ตสไตล์จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลแม้ระหว่างขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบแสดงผล Head-Up Display อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่โดยแสดงผลข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่รบกวนการมองถนน เสริมสมรรถนะการขับขี่ในระดับรถแข่งพันธุ์แท้ ด้วยความคลาสสิกสไตล์มินิอย่างแท้จริง ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,548,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

Mercedes-Benz CLS 300d

Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium

CLS 300d AMG Premium มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC และระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว รีดพละกำลังสูงสุด 245 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 6.4 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Diamond-pattern grille ที่มีเส้นตัดแบ่งเส้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบคูเป้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเส้นสายที่ดูกว้างและมีลักษณะทอดตัวลงไปที่พื้น คล้ายกับ Mercedes-AMG GT ทั้งยังมาพร้อมกับหลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า รวมถึงกันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตดีไซน์สปอร์ตจาก AMG เสริมด้วยล้ออัลลอยสปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารเรียบหรู ทว่าเพิ่มความพิเศษด้วยการติดตั้งไฟประดับที่ช่องลมของเครื่องปรับอากาศ เสริมรูปลักษณ์ของช่องลมที่ดูคล้ายเครื่องยนต์ของเครื่องบินเจ็ตให้โดดเด่นและสวยงามยิ่งขึ้น เสริมด้วยการเปลี่ยนสีเมื่อมีการปรับอุณหภูมิ รวมถึงการออกแบบแผงหน้าปัดสำหรับผู้ขับขี่แบบดิจิทัล โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลของแผงหน้าปัดได้ 3 แบบ เสริมสมรรถนะการใช้งานด้วยระบบ DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่อันหลากหลาย รวมถึงระบบกุญแจ KEYLESS-GO พร้อมด้วย HAND-FREE ACCESS และระบบเสริมด้านความปลอดภัยอีกมากมาย ทั้งยังมาพร้อมกับระบบนำทาง และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® รวมถึงฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ Apple Carplay & Android Auto และระบบ Bluetooth สำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่วนราคาเปิดตัวอยู่ที่ 4.98 ล้านบาท

Aston Martin Vantage

Aston Martin Vantage (AM6)

แอสตัน มาร์ติน แบงคอก เปิดตัวยนตรกรรมรุ่นล่าสุด The New Vantage (AM6) เป็นประเทศแรกในอาเซียน นับเป็นรถสปอร์ตสายพันธุ์อังกฤษ ที่มาพร้อมสมรรถนะจัดจ้าน ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.6 วินาที เครื่องยนต์เบนซิน วี8 สูบ 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 503 แรงม้า แรงบิด 685 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่สามารถตอบสนองการขับได้ทุกรูปแบบ สำหรับรูปลักษณ์ได้แรงบันดาลใจจากรุ่น DB10 พาหนะคู่ใจสายลับเจมส์ บอนด์ ภาคล่าสุด ส่วนค่าตัวนั้นอยู่ที่ 16.99 ล้านบาท

Rolls-Royce Phantom

Rolls-Royce New Phantom 2018

ภายในบูธ โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส คุณจะได้พบกับสุดยอดแห่งความหรูหราด้านยานยนต์ “โรลส์-รอยซ์  นิว แฟนธอม” ซึ่งถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความหรูหรา ด้วโครงสร้างอลูมิเนียมรูปแบบใหม่ ที่มีน้ำหนักเบาขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เงียบขึ้น

นอกจากนี้ยังถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นด้วยระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือนแบบอากาศ และระบบกล้อง 3 มิติอัจฉริยะที่จะจับเหตุการณ์บนถนนรอบด้าน พร้อมติดตั้งวัสดุซับเสียงที่มีน้ำหนักรวมกว่า 130 กิโลกรัม โดยผลลัพธ์ที่ได้คือผู้ขับขี่ และผู้โดยสารจะรู้สึกว่าภายในรถมีความเงียบมากกว่าแฟนธอมรุ่นก่อนราว 10 เปอร์เซ็นต์ ทำให้กลายเป็นรถยนต์ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากในเรื่องคุณภาพการขับที่แทบจะไร้เสียงรบกวน

นอกจากนี้  “โรลส์-รอยซ์  นิว แฟนธอม” ยังได้ติดตั้ง “Flagbearer” ซึ่งเป็นระบบกล้องสเตอริโอไว้กับกระจกหน้ารถ เพื่อให้มองเห็นถนนข้างหน้าในระยะไกล ทำให้สามารถปรับค่าระบบกันสะเทือนล่วงหน้าได้ในระดับความเร็วสูงถึง 100 กม./ชม. ทั้งยังมีการติดตั้งไฟวงแหวนสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน และระบบไฟเลเซอร์ที่ทันสมัย ที่สามารถส่องสว่างบนท่องถนนในเวลากลางคืนได้ไกลถึง 600 เมตร เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืนอีกด้วย สำหรับราคาค่าตัวของ “โรลส์-รอยซ์  นิว แฟนธอม” คันนี้เริ่มต้นที่ 53.5 ล้านบาท

Maserati Ghibli

Maserati Ghibli

มาเซราติ กิบลี่ ปรับโฉมเพิ่มความสดใหม่ บนตัวถังหลักเดิมที่ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายรถคูเป้ ผสานความประณีตหรูหราตามแบบฉบับรถสปอร์ตอิตาเลียน โดยยังคงเอกลักษณ์ต่างๆ ของมาเซราติไว้ครบถ้วน เช่น กระจังหน้าพร้อมสัญลักษณ์ตรีศูล สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของมาเซราติสุดคลาสสิกจากยุค 1950 รุ่นที่ทำตลาด คือ กิบลี่ แกรนลุซโซ่ เครื่องยนต์เบนซิน วี6 สูบ 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 350 แรงม้า กิบลี่ เอส แกรนสปอร์ต ใช้เครื่องยนต์เดียวกัน แต่เพิ่มกำลังเป็น 430 แรงม้า

ตามด้วยกิบลี่ ดีเซล เครื่องยนต์ดีเซล วี6 สูบ 3.0 ลิตร เทอร์โบ 275 แรงม้า กับแรงบิดสูงถึง 600 นิวตันเมตร ที่ 2,000-2,600 รอบ/นาที และกิบลี่ ดีเซล แกรนลุซโซ่ ที่ถูกเพิ่มหลายออปชันล้ำสมัย โดยมาเซราติ กิบลี่ ทุกรุ่นย่อย ส่งกำลังสู่ล้อหลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน ไฟหน้าอะแดปทีฟแอลอีดี, ลายไม้ Radica, ระบบปรับอากาศ 2 โซน, เบาะหุ้มหนังแท้ชนิดพิเศษ, กล้องแสดงภาพขณะถอยหลัง, คาลิเปอร์เบรกสีดำและล้อแม็กขอบ 19 นิ้ว

ด้าน กิบลี่ ดีเซล รุ่นแกรนลุซโซ่ มาพร้อมอุปกรณ์เพิ่มเติม ได้แก่ Easy Entry, 4 door Keyless Entry, Adaptive cruise control, Forward Collision Warning, Blind Spot Alert, Lane Departure Warning และ Surround View Camera วางจำหน่าย ราคา 7,590,000 บาท ขณะที่ กิบลี่ แกรนลุซโซ่ เครื่องยนต์เบนซิน จะมีอุปกรณ์เพิ่มเติมเข้ามา ได้แก่ ซันรูฟ, แพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย, ลายไม้ Ebano, เบาะคู่หน้าพร้อมระบบระบายอากาศ ส่วน กิบลี่ เอส แกรนสปอร์ต มีอุปกรณ์เพิ่ม กันชนหน้า-หลัง แต่งด้วยสีดำเงา, ลายไม้ Black Piano, เบาะทรงสปอร์ต, พวงมาลัยแบบสปอร์ต, แป้นคันเร่งและแป้นเบรกดีไซน์สปอร์ต, คาลิเปอร์เบรกสีดำ และล้อแม็กขอบ 20 นิ้ว สำหรับราคาจำหน่ายนั้นเริ่มต้นที่ 6.99 ล้านบาท

Nissan GT-R

Nissan GT-R Premium Edition 2018

นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดตัว จีที-อาร์ เป็นครั้งแรกในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2018 และนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งรถสปอร์ตรุ่นนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบ “การปฏิวัติทุกการเคลื่อนที่ (Revolution in Motion) ของงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นิสสัน จีที-อาร์ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน รหัส VR38DETT V6 ขนาด 3.8 ลิตร 3,799 ซีซี. Twin-Turbo 24 วาล์ว  พละกำลังสูงสุด 570 แรงม้า ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 637 นิวตันเมตร ที่ 3,300–5,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch 6 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD

มิติตัวถัง มีความยาว 4,710 มิลลิเมตร กว้าง 1,895 มิลลิเมตร สูง 1,370 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อมีตัวเลขอยู่ที่ 2,780 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดถึงพื้น 110 มิลลิเมตร มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd 0.27 ตัวรถหนัก 1,760–1,770 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 74 ลิตร ใช้ล้อขนาด 20 นิ้ว ยางคู่หน้าขนาด 255/40 ZFR20–คู่หลัง 285/35 ZFR20 ท่อไอเสียไทเทเนียมแบบใหม่ 4 ท่อ สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 13.5 ล้านบาท

Honda Clarity Fuel Cell

Honda Clarity Fuel Cell

ฮอนด้า คลาริตี้ ฟิวเซลล์ รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง ที่สุดแห่งเทคโนโลยียานยนต์ที่ปราศจากไอเสีย นับเป็นรถฟิวเซลล์แบบซีดาน 5 ที่นั่งคันแรกของโลก โดยแผงเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell stack) ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้า ผสานระบบส่งกำลังให้มีสมรรถนะเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ V-6 โดยสามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 750 กม. ต่อการเติมไฮโดรเจนเต็มถัง 1 ครั้ง (การทดสอบภายในของฮอนด้าตามโหมดทดสอบของประเทศญี่ปุ่น ภายใต้เงื่อนไขของสภาวะอากาศ สภาพการจราจร และลักษณะการขับขี่ในขณะทดสอบ) ซึ่งจากระยะทางดังกล่าว นับเป็นระยะทางที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน และมีอัตราการประหยัดน้ำมัน (EPA Fuel economy rating) เทียบเท่า 68 ไมล์ต่อน้ำมันหนึ่งแกลลอน (MPGe) (หรือประมาณ 28.3 กิโลเมตร/ลิตร) ยังไม่มีราคาจำหน่ายสำหรับประเทศไทย แต่สำหรับราคาที่อเมริกาอยู่ที่ประมาณ 60,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 2.1 ล้านบาท

Honda Civic Hatchback RED

Honda Civic Hatchback RED

ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เติมสีสันให้กับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 ด้วย ฮอนด้า ซีวิค แฮตช์แบ็ก สีแดงแรลลี่ ซึ่งมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-5,500 รอบ/นาที

ภายใต้เทคโนโลยีหัวฉีดไดเร็กอินเจ็กชั่น ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง พร้อมการออกแบบท่อไอดีแบบตรง และเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ช่วยอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ ซึ่งให้กำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร แต่มีอัตราการประหยัดน้ำมันเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร

ห้องโดยสารให้ความสะดวกสบาย และกว้างขวาง ตอบรับทุกความต้องการที่หลากหลายด้วยพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายที่จุได้ถึง 414 ลิตร โดยพนักพิงของเบาะหลังสามารถปรับพับแยกได้แบบ 60:40 ซึ่งหากปรับพับเบาะที่นั่งด้านหลังลงทั้งหมด จะช่วยเพิ่มพื้นที่ความจุได้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังติดตั้งม่านปิดสัมภาระที่สามารถเลือกปิดเก็บได้ทั้งซ้ายหรือขวา เพื่อป้องกันการมองเห็นสัมภาระที่อยู่ด้านท้าย

เสริมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบ Auto Brake Hold สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock ) และถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า Dual SRS ถุงลมด้านข้างคู่หน้าแบบอัจฉริยะ i-Side Airbag และม่านถุงลมด้านข้าง Side Curtain Airbags สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1.169 ล้านบาท

Honda Uni-Cub & RoboCas

Honda Uni-Cub Beta และ Honda RoboCas

นอกจาก ฮอนด้า จะนำเสนอ รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) และรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2018 แล้ว ทาง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ยังมีการชูวิสัยทัศน์ 2030 ของฮอนด้า ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการใช้ชีวิตของผู้คนทั้งในด้านการเดินทางและการใช้ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ โดยจัดแสดงเทคโนโลยีเพื่อการเดินทางและการใช้ชีวิตในโลกอนาคต ไดแก่ “ยูนิ-คับ เบต้า” (Uni-Cub Beta) พาหนะส่วนบุคคลเคลื่อนที่รอบทิศทาง และ “ฮอนด้า โรโบแคส” (Robocas) รถเข็นอัจฉริยะพลังงานไฟฟ้า

Honda Uni-Cub Beta พาหนะส่วนบุคคลเคลื่อนที่รอบทิศทาง

เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์ในการเสริมสร้างศักยภาพการใช้ชีวิตของผู้คน ฮอนด้า ได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิต ในหลากหลายรูปแบบ ดังเช่นเทคโนโลยีที่ฮอนด้านำมาจัดแสดง ได้แก่ “ยูนิ-คับ เบต้า” (Uni-Cub Beta)  พาหนะส่วนบุคคลรูปแบบใหม่ที่สามารถเคลื่อนที่ได้รอบทิศทางได้อย่างง่ายดายเพียงโน้มน้ำหนักตัวไปในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งได้รับการพัฒนาจากเทคโนโลยีควบคุมการทรงตัว (Omni-Direction Driving Wheel System หรือ Honda Omni Traction Drive System) ที่มีอยู่ในหุ่นยนต์อัจฉริยะ “อาซิโม” ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานภายในอาคาร เช่น สำนักงาน และห้างสรรพสินค้า

Honda RoboCas รถเข็นอัจฉริยะพลังงานไฟฟ้า

ในส่วนของ “ฮอนด้า โรโบแคส” (Honda RoboCas) ซึ่งเกิดจากแรงบันดาลใจของวิศวกรผู้ออกแบบรถยนต์ชาวญี่ปุ่นที่มาใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในประเทศไทยและประทับใจในรถเข็นขายอาหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทย โดยนำไปต่อยอดพัฒนาเป็นรถเข็นอัจฉริยะพลังงานไฟฟ้า นวัตกรรมต้นแบบ ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลายรูปแบบ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งความฝันที่ผลักดันให้ฮอนด้ามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ

Toyota CH-R

Toyota C-HR พร้อมชุดแต่ง Modellista

Toyota C-HR ได้รับการออกแบบเพื่อแสดงถึงการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของรถยนต์นั่งภายใต้แนวคิด “LIVE ALIV” ด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของเพชร สะท้อนถึงรูปแบบพื้นผิวของอัญมณีที่มีความประณีตในการเจียระไน พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ New Generation of Hybrid ระบบไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ที่ได้รับการพัฒนาให้แบตเตอรี่มีขนาดเล็กลง แต่เก็บประจุไฟฟ้าและประหยัดน้ำมันมากขึ้น ด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันสูงถึง 24.4 กม./ลิตร

โครงสร้าง TNGA (Toyota Global New Architecture) ถูกพัฒนาขึ้นโดยการออกแบบโครงสร้างตัวถังใหม่ให้แข็งแกร่งและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง ลดการโคลงตัวของตัวถัง โดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพการเกาะถนน คล่องตัว รวมถึงการออกแบบห้องโดยสารเพิ่มทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้กว้างขึ้นลดจุดอับสายตา ช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone Suspension)

Toyota CH-R พร้อมชุดแต่ง TRD

สำหรับรุ่น 1.8 Entry ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซินตัวล่างสุด ภายในจะเป็นสีดำ เบรกมือไฟฟ้า กระจกมองข้างปรับพับไฟฟ้า ระบบครูสคอนโทรล ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟเตือนแรงดันลมยาง กล้องมองหลัง เซ็นเซอร์รอบคัน 8 ตำแหน่ง และระบบ ABS EBD BA VSC TRC HAC ส่วนในรุ่น 1.8 MID จะเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานจากรุ่นล่างสุด คือ ภายในสีน้ำตาล เบาะหนัง ระบบ Push start Smart Entry ดันหลังไฟฟ้าเบาะคนขับ ไฟตัดหมอกหน้า

ขณะที่ 1.8HV Mid ซึ่งขับเคลื่อนเครื่องยนต์ไฮบริดนั้น จะเพิ่มทางเลือกคือ มีหลังคาสีดำ และอุปกรณ์เพิ่มเติมขึ้นมาอีกได้แก่ ระบบ Telematics ระบบ EV mode ระบบปรับระดับไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟเลี้ยวหน้าแบบ LED Sequential ไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED สำหรับราคา Toyota CH-R เริ่มต้นที่ 9.79 แสนบาท ไปจนถึงตัวท๊อป 1.159 ล้านบาท

Lexus LC500

Lexus LC500

บรรทัดฐานใหม่ของยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้กับเลกซัส LC500 ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5.0 ลิตร ทำงานคู่กับระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 10 จังหวะ ให้กำลังถึง 471 แรงม้า มอบสมรรถนะการขับขี่สนุกเร้าใจด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ Global Architecture Luxury ใหม่ล่าสุดจากเลกซัส

โดย LC500 สะท้อนภาพลักษณ์การเป็นยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ ด้วยรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวเร้าใจ ไฟหน้าแบบ 3-eye-LED ไฟท้ายแบบ 3-Dimension-LED ล้ออลูมินัมขนาด 21 นิ้ว จับคู่กับยางแบบรันแฟลต และหลังคาแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ภายในแสดงออกถึงความประณีตพิถีพิถัน ด้วยเบาะหนังและแผงประตูแบบผลิตจากหนังกลับ Alcantara และมาพร้อมกับเครื่องเสียงพรีเมี่ยมแบบ Mark Levinson Surround System  ที่จะมอบสุนทรียภาพตลอดการเดินทาง สำหรับราคาค่าตัวของ LC500 คันนี้อยู่ที่ประมาณ 16.9 ล้านบาท

Mitsubishi Pajero Sport

Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 2WD Limited Edition 2018

มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ เพิ่มความสปอร์ตพรีเมียมด้วยชุดแต่งพิเศษ เน้นไปที่การยกระดับความหรูหราของห้องโดยสาร เริ่มจากคอนโซลกลางเสริมด้วยวัสดุผิวนุ่มบริเวณด้านข้าง รวมถึงมาตรวัดเรืองแสงไฮคอนทราสต์พร้อมการแสดงผลแบบสามมิติ และระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ช่องจ่ายกระแสไฟ AC 220 โวลต์ และช่องต่ออุปกรณ์ USB 2 ตำแหน่ง รวมไปถึงช่องเก็บสมาร์ตโฟนที่เบาะนั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

เสริมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงป้องกัน เช่น ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบชะลอความเร็ว ซึ่งใช้เทคโนโลยีเรดาร์แบบคลื่นมิลลิเมตรในการตรวจจับรถยนต์คันหน้าและหลีกเลี่ยงการชน และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ช่วยป้องกันการเหยียบคันเร่งผิดพลาดไปด้านหน้าและด้านหลังขณะรถจอดนิ่ง รวมถึงระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา

สำหรับ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล MIVEC VG Turbo ที่มาพร้อมเสื้อสูบและฝาสูบอะลูมินัมอัลลอย ขนาดความจุ 2.4 ลิตร เพื่อการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ทั้งยังลดมลพิษและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ให้พละกำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ด้วยอัตราทดเกียร์เดินหน้า 8 ระดับ พละกำลังจึงถูกถ่ายทอดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังมอบการขับขี่ที่นุ่มนวลและช่วยประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น โดยระบบส่งกำลังมาพร้อมระบบควบคุมและตัดกำลังไปยังเพลาขับแบบอัตโนมัติ ช่วยลดการสูญเสียพลังงานที่เกิดจากทอร์กคอนเวอร์เตอร์เมื่อตัวรถจอดนิ่งโดยที่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง “D” เพื่อช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองของน้ำมัน สำหรับราคาจำหน่ายรุ่น GT-Premium 2WD Limited Edition 2018 อยู่ที่ 1,424,000 บาท

Mazda 3

Mazda 3 (2018)

มาสด้า เติมความสดใหม่ให้กับ Mazda3 ซัพคอมแพ็คคาร์ระดับพรีเมียมสัญชาติญี่ปุ่น ที่ยังคงมาพร้อมกับการออกแบบ “โคโดะ ดีไซน์” อันเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนความโดดเด่นสง่างามเข้ากับกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ G-Vectoring Control เพิ่มความโดดเด่นด้วยการเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ แต่ขยับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ยังคงไว้ซึ่งความเป็นรถสปอร์ต ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน โดยมีอัตราส่วนการอัดสูงที่สุด 14.0:1 ประหยัดน้ำมันสูงสุด 15.6 กม./ลิตร มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด ที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ มีรูปแบบตัวถังให้เลือกทั้งแบบซีดาน 4 ประตู และแบบแฮตช์แบ็ก 5 ประตู

รวมถึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อโลกการสื่อสารด้วย MZD CONNECT พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว และปุ่มควบคุม Center Commander เสริมความสะดวกสบายให้กับการใช้งาน ทั้งยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยระดับโลก i-ACTIVSENSE ที่ครบครันยิ่งขึ้น ภายใต้สีใหม่ล่าสุด โซล เรด คริสตัล ที่เพิ่มภาพลักษณ์ความสปอร์ตพรีเมียมให้กับ Mazda 3 มากยิ่งขึ้น

โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยรอบคัน ทั้งระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทางที่ทำให้การมองเห็นนั้นมีความชัดเจนรอบคันในมุมมองแบบ top view พร้อมกล้องทั้งสี่จุดบริเวณด้านหน้า ด้านหลังและกระจกมองข้าง รวมถึงไฟหน้าแบบ LED โปรเจกเตอร์ พร้อม Daytime Running Light ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ และเบาะนั่งด้านคนขับแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง สำหรับราคา Mazda 3 เริ่มต้นที่ 857,000 บาท

Hyundai IONIQ

Hyundai IONIQ

ฮุนได ค่ายรถแดนกิมจิ อวดโฉม ไอออนิก ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกของโลก ที่มีจำหน่ายในทั้ง 3 รูปแบบระบบขับเคลื่อน ได้แก่ ไฮบริด, ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และอีวี ชูความเป็นรถยนต์ที่มีการคายมลพิษต่ำที่สุด หรือปราศจากมลพิษ ภายใต้การออกแบบที่มีความสวยงาม ทันสมัย ทั้งยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีการขับขี่ การเชื่อมต่อ และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย

แต่ที่นำมาขายในไทยเป็นรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น กระจังหน้าจึงถูกออกแบบในลักษณะปิดทึบ เนื่องจากไม่ต้องใช้งานเพื่อการระบายความร้อนเครื่องยนต์ แต่ยังคงไว้ซึ่งความพลิ้วไหว และสะอาดตา ด้วยสีเทาเข้ม ไฟส่องสว่างขณะขับขี่เวลากลางวัน ไฟหน้าและไฟท้ายเป็นแบบ LED บริเวณชายกันชนด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งชายประตูทั้ง 4 บาน ถูกตกแต่งด้วยสีทองแดง ที่สื่อถึงความเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยราคาจำหน่ายที่ 1,749,000 บาท

ภายในถูกออกแบบโดยเน้นถึงความเป็นรถแห่งอนาคต ด้วยแนวคิด ‘Purified High-Tech’ ที่เน้นถึงความเรียบง่าย ลื่นไหล แต่มีความประณีต และใช้งานง่าย เน้นการใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมที่น้อยที่สุด มีผิวสัมผัสที่เรียบ ลื่น และให้ความรู้สึกสะอาดบริสุทธิ์ วัสดุภายใน จึงเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติ

ขับเคลื่อนโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร ที่ให้พละกำลังสูงสุด 120 แรงม้า (88kW) แรงบิดสูงสุด 295 นิวตัน-เมตร เชื่อมต่อผ่านระบบเกียร์แบบ single-speed ที่สามารถเลือกตำแหน่งเกียร์ผ่านปุ่มกดบริเวณคอนโซลกลาง และสามารถพารถยนต์ไปที่ความเร็วสูงสุดที่ 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบตเตอรี่ที่ใช้สำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนนั้น เป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน โพลิเมอร์ ใช้เวลาในการชาร์จไฟแบบปกติอยู่ที่ 4 ชั่วโมง 25 นาที โดยแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่ใต้ที่นั่งของผู้โดยสารตอนหลัง แต่ยังคงไว้ซึ่งพื้นที่ที่สามารถบรรจุสัมภาระได้สูงสุดถึง 650 ลิตร ในส่วนของราคาจำหน่ายนั้นเริ่มต้นที่ 1.749 ล้านบาท

Suzuki Swift

Suzuki New Swift 2018

ซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นใหม่ นับเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ที่ดำเนินการอยู่ในอีโคคาร์ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “INNOVATION-Fun & Sporty” มิติของตัวรถซึ่งความสูงอยู่ที่ 1,495 มิลลิเมตร และกว้างขึ้น 40 มิลลิเมตร ทำให้มีความสปอร์ตและดูปราดเปรียวมากขึ้น

เครื่องยนต์ใหม่รหัส K12M ขนาด 1.2 ลิตร เทคโนโลยีใหม่คือหัวฉีดคู่หรือ DUALJET ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ให้กำลังสูงสุด 83 แรงม้า (61 กิโลวัตต์) พร้อมแรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที จึงประหยัดน้ำมันกว่าเดิมมากกว่า 23 กม. ต่อลิตร

ด้านความปลอดภัยมีการนำแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT มาใช้เพื่อช่วยให้รถมีน้ำหนักน้อยลงแต่คงความแข็งแกร่งและช่วยประหยัดน้ำมัน รวมถึงโครงสร้างตัวถังแบบ TECT ช่วยให้น้ำหนักรวมของตัวรถลดลงจากรุ่นก่อนถึง 65 กิโลกรัม

พร้อมระบบ TCS ช่วยในการควบคุมรถขณะขับขี่บนถนนลื่นหรือในทางโค้ง และยังเหมาะกับการขับในเมืองด้วยระบบ IDLING STOP ที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรถหยุดนิ่ง ขับขี่อย่างมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบ Hill Hold Control ที่จะช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และปลอดภัยมากขึ้นด้วยถุงลมนิรภัย SRS ถึง 6 ตำแหน่ง

ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Ablaze Red Pearl, Star Silver Metallic, Mineral Gray Metallic, Super Black Pearl และ 2 สีใหม่ คือ Speedy Blue Metallic และ Pure White Pearl โดยมีทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ GA CVT, GL CVT, GLX CVT และ GLX-Navi CVT ในส่วนของราคาจำหน่ายนั้นเริ่มต้นที่ 4.99 แสนบาท ไปจนถึง 6.29 แสนบาท

Chevrolet Colorado High Country Strom

Chevrolet Colorado High Country Storm “Orange Crush”

เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม ปี 2019 มาพร้อมสีตัวถังใหม่ “Orange Cruch” และชุดแต่ง “Thunder” ใหม่ล่าสุด ซึ่งประกอบด้วยซุ้มล้อสีดำด้าน, ตราสัญลักษณ์เชฟโรเลต โบว์ไท สีดำ ด้านหน้าและหลัง, เบดไลเนอร์, บันไดข้างสีดำแบบสปอร์ต, กระจังหน้าสีดำ, สติ๊กเกอร์สีดำด้าน พร้อมสัญลักษณ์โคโรลาโดสำหรับตกแต่งฝากระบะท้าย, ฝาปิดถังน้ำมัน พร้อมตราสัญลักษณ์เชฟโรเลตสีดำ และฮูด สกู๊ป และยังมีชุดอุปกรณ์ตกแต่งภายในห้องโดยสารให้เลือกได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นชุดตกแต่งแผงคอนโซลหน้ากลางสีส้ม, ชุดตกแต่งคันเกียร์สีบรอนซ์เงิน, ชุดตกแต่งช่องแอร์สีบรอนซ์เงิน, ชุดตกแต่งข้างประตูสีส้ม

Chevrolet Colorado High Country Storm เปิดตัวสีใหม่ “Dark Shadow Metallic”

ส่วนชุดอุปกรณ์ตกแต่ง “Thunder” มีจำหน่ายแยกไม่รวมอยู่ในชุดแต่งบนรถรุ่น ไฮ คันทรี สตอร์ม  ซึ่งประกอบไปด้วยสปอร์ตบาร์ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว สติกเกอร์บนฝากระโปรงหน้าพร้อมโลโก้ High Country กระจกมองข้าง มือจับที่เปิดประตู มือจับทีเปิดฝาท้าย ขอบหน้าต่าง กันชนท้ายสีดำพร้อมเซ็นเซอร์ถอยหลัง และสติกเกอร์สตอร์มตกแต่งข้างตัวรถ โดยชุดแต่งเป็นสีดำทั้งหมด โดยโคโลราโด ไฮ คันทรี มีราคาจำหน่ายในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ราคา 998,000 บาท และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,068,000 บาท (ราคาไม่รวมชุดแต่ง)

Isuzu MU-X The ICONIC

Isuzu MU-X The ICONIC

อีซูซุมิว-เอ็กซ์ ดิ ไอโคนิค มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 2 ล้อ พร้อมช่วงล่างที่นุ่มนวล รวมถึงเทคโนโลยีและฟังก์ชันต่างๆ เสริมความสปอร์ตด้วยชุดแต่ง ICONIC STYLE เติมความหล่อด้วยล้ออัลลอยรุ่นพิเศษ ICONIC CROSS ขนาด 18 นิ้ว ส่วนในห้องโดยสารเติมความดุดันด้วยวัสดุสีโทนเข้มอย่าง LAVA BLACK เสริมประสิทธิภาพการใช้งานด้วย Digital TV Tuner นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังคาด้านหลัง เติมความสปอร์ตได้เป็นอย่างดี

รวมถึงไฟหน้า Bi-LED ซึ่งมาพร้อมไฟ Daylight ในโคมและเส้นนำแสง LED Guiding Light ด้านความบันเทิงมาพร้อมเครื่องเล่น DVD ขนาด 8 นิ้ว iConnect เสริมด้วย Built-in Navigator เอาใจสายโซเชียลมีเดียด้วยช่องเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้า AC220 โวลต์ และช่องเสียบ USB บริเวณคอนโซลกลาง รวมถึงกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมกล้องบันทึกภาพด้านหน้ารถ DVR

ด้านขุมพลังรุ่น 1.9 Ddi Blue Power มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ รหัส RZ4E-TC ขนาด 1.9 ลิตร Commonrail Direct Injection เทอร์โบแปรผัน VGS Turbo และ Intercooler รีดพละกำลังได้สูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Rev tronic

ส่วน 3.0 Ddi Blue Power ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล รหัส 4JJ1-TCX ขนาด 3.0 ลิตร Commonrail Direct Injection เทอร์โบแปรผัน VGS Turbo และ Intercooler พละกำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Rev Tronic เช่นกัน สำหรับราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,354,000 บาท

MG ZS

MG ZS

รถอเนกประสงค์ที่ใช้เครื่องยนต์บล็อก 1,500 ซีซี ถูกพัฒนาในคอนเว็ปท์ “สมาร์ทเอสยูวี” ที่จะมีฟีเจอร์เท่ๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ดีไซน์ภายนอกเน้นภาพลักษณ์โดดเด่น มีความสปอร์ต ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานได้หลากหลาย มีเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะ i-SMART สั่งการด้วยเสียงภาษาไทย ห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย พร้อมกับระบบความปลอดภัย Synchronized Protection System 9 ระบบ ที่ครบครันยิ่งกว่า เครื่องยนต์เบนซิน DOHC VTi-TECH 4 สูบ 1,500 ซีซี. ให้แรงม้าสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode สำหรับราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 6.99 แสนบาท โดยภายในงาน Motor Show 2018 นอกจากตัวรถที่เป็นพื้นฐานแล้วยังมีรุ่นที่ตกแต่งพิเศษ ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมอย่างกล่องเก็บของหรือจักรยานเอามาแสดงให้ชมด้วย

Audi A7 Sportback

Audi A7 Sportback 55 TFSI quattro S line

Audi A7 Sportback 55 TFSI quattro S line ใหม่ เป็นรถสปอร์ตคูเป้ 4 ประตู มีความโดดเด่นด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน Mild Hybrid (MHEV) แบบ V 6 สูบ พร้อมระบบจ่ายน้ำมันแบบฉีดตรง (Direct Injection) เทอร์โบชาร์จ ขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro เกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 จังหวะ 3.0 ลิตร แรงม้า อัตราเร่ง   0-100 กม. / ชม. 5.3 วินาที ตกแต่งแบบ S line ทั้งภายในและภายนอก ตอบสนองทุกอารมณ์ของการขับขี่ และยังเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนถึงความสำเร็จของทีมวิศวกรออกแบบของ Audi ที่สามารถผสานรวมความเป็นคูเป้  ซีดาน และความล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว บทใหม่แห่งการดีไซน์ ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า อีกทั้งยังตอบสนองเรื่องของไดนามิค คุณประโยชน์ในการใช้งาน และให้ความรื่นรมย์บันเทิงไว้ในรถคันเดียวกัน

รูปทรงภายนอก โดดเด่น สวยงาม ด้วยตัวถังขนาดใหญ่รูปแบบใหม่แบบเดียวกับรถในกลุ่ม “แกรน ทัวริสโม” หน้าและท้ายรถคมเข้มด้วยเส้นสายตัวถังที่ทรงพลังดูแข็งแกร่ง สื่อให้เห็นพละกำลังอย่างเต็มเปี่ยมที่พร้อมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้า สัมผัสมุมมองใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ด้วยไฟหน้าแบบ HD Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า-หลัง (Light Staging) ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต สร้างความปราดเปรียวและเร้าใจในทุกเส้นทาง มั่นใจและปลอดภัยสูงสุดในทุกสถานการณ์ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในรูปแบบ Quattro with ultra technology ที่จะปรับเปลี่ยนการขับเคลื่อนเป็น 2 ล้อโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดอัตราการบริโภคน้ำมันเครื่อง สัมผัสมุมมองที่ไร้ขอบจำกัดกับหลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า และล้อขนาด 20 นิ้ว ขณะที่ภายในอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเต็มรูปแบบ จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบ MMI Navigation plus with MMI touch response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว จอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัสพร้อมตอบสนองการสั่งงาน (Haptic Feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว เบาะนั่งหุ้มหนัง Valcona แบบ Sport พร้อมสัญลักษณ์ S line ระบบเครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ ราคาจำหน่าย 5,399,000 บาท

Audi TTS Coupe รางวัลใหญ่สำหรับผู้ที่จองรถ Audi ในงาน Motor Show 2018

สำหรับท่านที่จองรถ Audi รุ่นใดก็ได้ในงาน Bangkok International Motor Show 2018 ลุ้นรับ “Audi TTS” มูลค่า 4,599,000 บาท พร้อมประกันชั้น 1 (นาน 2 ปี)

Audi A8 L

Audi A8 L

อาวดี้ ประเทศไทย แนะนำ The new Audi A8 L (อาวดี้ เอ8 แอล) ลักชัวรีซีดานใหม่ เป็นรถยนต์รุ่นแรกของอาวดี้ที่สะท้อนถึงการออกแบบยุคใหม่ที่ก้าวล้ำนำสมัยทุกมิติทำให้ได้ยนตรกรรมที่มีความหรูหราทันสมัย ความสะดวกสบายเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์สปอร์ต สมรรถนะที่พร้อมตอบสนองทุกการขับขี่ อีกทั้งยังสะท้อนถึงรสนิยมได้เป็นอย่างดี

การดีไซน์ที่ล้ำสมัยและระบบปฏิบัติการภายในรถที่ถูกปฏิวัติใหม่ ไฟหน้าเป็นแบบแมทริกซ์ แอลอีดี โดยชุดไฟหน้าประกอบไปด้วยไฟ LED ข้างละ 84 ดวง ควบคุมการทำงานอิสระ โครงสร้างรถน้ำหนักเบา และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อออกมาได้อย่างลงตัว มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน Mild Hybrid แบบ V6 สูบ มีทั้งหมด 6 สี ให้เลือกเป็นเจ้าของถึง 2 รุ่นในราคาสุดคุ้มค่าคือ รุ่น A8 L 55 TFSI quattro Premium เครื่องยนต์เบนซิน 340 แรงม้า ราคา 6,799,000 บาท และ A8 L 55 TFSI quattro Prestige เครื่องยนต์เบนซิน 340 แรงม้า ราคา 7,999,000 บาท

Volvo XC60

Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD

วอลโว่ XC60 รถเอสยูวีขนาดกลางสไตล์สแกนดิเนเวียนระดับพรีเมียม ซึ่งเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่จะเชื่อมโยงคุณและรถยนต์เข้ากับโลกแห่งการขับขี่ระดับสูง ห้องโดยสารภายในหรูหราด้วยงานตกแต่งของช่างฝีมือและความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ควบคุมได้อย่างง่ายดายในขณะขับขี่ โครงแชสซีรุ่นใหม่สร้างสมดุลระหว่างความสะดวกสบายและการควบคุม และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยที่ช่วยปกป้องคนสำคัญของคุณได้ตลอดเส้นทางตามแบบฉบับของเอสยูวีสไตล์สแกนดิเนเวียน กล่าวได้ว่า XC60 คือเอสยูวีที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้า ให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้ดีที่สุดเท่าที่วอลโว่เคยผลิตมา ทั้งยังมอบดีไซน์ที่บ่งบอกถึงสไตล์และความหรูหราในแบบฉบับของรถสแกนดิเนเวียนอย่างชัดเจน ทั้งการขับเคลื่อนและปฏิสัมพันธ์ของตัวรถกับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ล้วนให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงและพุ่งทะยาน และเปี่ยมด้วยสัมผัสที่เข้าใจในตัวมนุษย์อย่างมาก เครื่องยนต์ T8 Twin Engine AWD ที่ดีที่สุดในคลาส มอบกำลัง 407 แรงม้า ระยะวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 44.92 กม. และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที อัตราการบริโภคเชื้อเพลิงที่ 47.6 กม./ลิตร ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 3.09 ล้านบาท

วอลโว่ XC60 โดดเด่นด้วยการออกแบบเส้นสายที่เรียบง่ายสบายตา โทนสีเข้มที่หรูหรา เอกลักษณ์งานออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวียน และความสอดคล้องตามหลักสรีรศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบในทุกองค์ประกอบ วอลโว่ยังเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ผลิตรถยนต์สำหรับขับขี่บนท้องถนนที่มีความปลอดภัยสูงสุด และยังเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งวอลโว่ยังมีแผนการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้

Porsche 911 GT3

Porsche 911 GT3

ยานยนต์สปอร์ตที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีความแรงจากสนามแข่งสู่ท้องถนน ด้วยหัวใจหลักของประสิทธิภาพการทำงานของขุมพลังเครื่องยนต์สูบนอนขนาดความจุ 4.0 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุดกว่า 500 แรงม้า สามารถพุ่งทะยานทะลุความเร็วสูงสุดกว่า 318 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะคลัทช์คู่ 7 จังหวะ PDK เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ได้รับการปรับแต่งให้ตอบสนองกับการใช้งานในสไตล์รถ GT โดยเฉพาะ ด้วยน้ำหนักรวมน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มถังเพียง 1,430 กิโลกรัม ให้อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 3.4 วินาทีเท่านั้น 911 จีที 3 ราคาเริ่มต้น 18.4 ล้านบาท

Porsche Cayenne S

Porsche Cayenne S

ยนตรกรรม SUV สัญชาติเยอรมันเจเนอเรชันที่ 3 อย่างคาเยนน์ เอส ใหม่ เป็นการผสานระหว่างสมรรถนะด้านการขับขี่อันยอดเยี่ยม เข้ากับกับความสะดวกสบายเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบใหม่ เสริมด้วยนวัตกรรมแนวคิดระบบควบคุม พร้อมหน้าจอแสดงผลทำหน้าที่เชื่อมต่อรถยนต์กับโลกแห่งการสื่อสาร

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ด้วยเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ ขนาดความจุ 2.9 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุดกว่า 440 แรงม้า รีดความเร็วสูงสุดได้ถึง 265 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปยังความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 วินาที พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic S 8 จังหวะ

สำหรับปอร์เช่ ได้วางราคาขาย คาเยนน์ เอส ใหม่ โดยเริ่มต้นที่ 11.4 ล้านบาท ขณะที่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด มาพร้อมราคาเริ่มต้นที่ 7.5 ล้านบาท

Jaguar F-Type

Jaguar F-Type

F-Type สายพันธุ์สปอร์ตซีดานจาก Jaguar ที่มาในคอนเซ็ปท์การออกแบบที่ถ่ายทอดพลังในการขับเคลื่อนที่แฝงไว้ในทุกสัดส่วนของตัวรถ กระจังหน้าอารมณ์สปอร์ตที่แฝงไว้ในคราบผู้ดีวัยหนุ่ม ปราดเปรียว หรูหราด้วยฟังก์ชั่นเปิดหลังคาได้ ตัวรถที่ดูทันสมัยแต่แฝงไว้ด้วยความไหลลื่น ไฟหน้าและไฟ DRL แบบ LED รับกับตัวรถ 

เครื่องยนต์ใหม่ Ingenium เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า พร้อมระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มีคุณสมบัติพิเศษ ลูกสูบอลูมิเนียม ที่มีผนังบาง ปลอกสูบที่ทำ จากเหล็กหล่อเพื่อให้มีน้ำหนักเบา ระบบฉีดเชื้อเพลิงเข้ามานั้นมีความแม่นยำและเหมาะสม เทอร์โบชาร์จ ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูง สามารถสร้างทอร์คสูงได้ตั้งแต่ในช่วงรอบเครื่องต่ำ และให้ทอร์คสูงสุดในรอบ กว้าง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 13.8 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 163 กรัมต่อกิโลเมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3.99 ล้านบาท 

Jaguar E-Pace

Jaguar E-Pace

จากัวร์ อี-เพซ ใหม่ คอมแพ็คเอสยูวี ที่มาภายใต้รูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต พร้อมด้วยพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางรองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง ซึ่งเป็นการต่อยอดด้านสมรรถนะจากจากัวร์ เอฟ-เพซ รวมถึงรูปลักษณ์อันโดดเด่นสะดุดตาตามแบบฉบับรถยนต์สปอร์ตจากจากัวร์ เอฟ-ไทพ์ การออกแบบภายนอกถ่ายทอดความเป็นจากัวร์อย่างเด่นชัดด้วยกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยรูปทรงของช่วงหน้าที่สั้นแต่มีส่วนโค้งเว้าของตัวรถที่ดูแข็งแกร่งทรงพลัง

รวมถึงความลาดเอียงของโครงหลังคาที่สอดรับกับหน้าต่างด้านข้างตัวรถ โชว์ให้เห็นถึงความเป็นสายพันธุ์สปอร์ตของจากัวร์ได้อย่างชัดเจน สำหรับ จากัวร์ อี-เพซ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล Ingenium ให้กำลังสูง 150 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 10.5 วินาที อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 147 กรัม/กม. ส่งกำลังด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

จากัวร์ อี-เพซ เป็นยนตรกรรมที่มีระบบการเชื่อมต่อแบบดิจิทัลที่อัจฉริยะมากที่สุดในรุ่น ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดในระบบอินโฟเทนเมนต์ที่มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัส สามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ทั้งยังมีจุดชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ถึง 4 จุด รวมถึง 5 ช่องเสียบ USB ซึ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ของรถยนต์สปอร์ต ด้วยราคาจำหน่าย 3.6 ล้านบาท

Range Rover Velar

Range Rover Velar

SUV สุดดุดันที่เต็มไปด้วยดีไซน์และความทันสมัย แต่ละจุดมีทั้งความกลมกลืนและแตกต่าง เอกลักษณ์ของพื้นที่ด้านในกระจังหน้า ไฟหน้า LED ส่องสว่างได้ไกล 550 เมตร และพื้นที่ไฟตัดหมอกที่มีครีบแหวกอากาศ รายละเอียดที่แตกต่างบนฝากระโปรง ไหลลื่นไปตลอดแนวหลังคารถที่ลาดเอียงลงด้านท้าย ภายในหรูหราด้วยวัสดุและโทนสีตกแต่งแบบทูโทน เพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายสูงถึง 673 ลิตร ฟังก์ชั่นการทำงานเกือบทั้งหมดเป็นแบบสัมผัส ทำให้มีพื้นที่คอนโซลที่ราบเรียบ พร้อมหน้าจอแสดงผลที่ปรับองศาได้เมื่อรถทำงาน มีฟังก์ชั่นแสดงข้อมูลได้หลากหลายให้เลือก พร้อมอ๊อฟชั่นแสดงผลบนด้านหน้ากระจกรถ

เครื่องยนต์ที่ใช้วัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบามีทั้งแบบเบนซินบล็อกแถวเรียง 4 สูบและแบบดีเซลสูบวี 6 สูบ มีโหมดระบบขับเคลื่อนให้เลือกหลายโหมดที่เหมาะสมกับเส้นทาง ฟังก์ชั่นระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวและระยะให้ตัวของช่วงล่างที่ปรับปรุงใหม่ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 5.99 ล้านบาท

Kia Stinger

Kia Stinger 2018 

Kia Stinger 2018 สปอร์ตซีดานจากแดนกิมจิ มาให้ยลโฉมถึงตลาดเมืองไทยภายในงาน BIMS 2018 ด้วยการออกแบบที่ให้กลิ่นอายความเป็นยุโรป ทำให้เจ้า Kia Stinger ถูกจับจ้องจากผู้เข้าชมงานอย่างไม่ละสายตา

ด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ Theta II 2.0 T-GDI แบบ 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC ทำให้มันสามารถผลิตม้าออกมาวิ่งเล่นสูงสุด 255 ตัว @ 6,200 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุด 353 นิวตันเมตร @ 1,400-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังสู่ล้อหลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด (Shift By Wire) ทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.8 วินาที มีความเร็วสูงสุด 239.7 กม./ชม.

Stinger 2018 มีมิติตัวถึง ยาวxกว้างxสูง อยู่ที่ 4,830×1,870×1,400 มม. ระยะฐานล้อยาว 2,905 มม. ช่วงล้อหน้า/หลังกว้าง 1,596/1,647 มม. รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร และถังเชื้อเพลิงจุ 60 ลิตร ระบบช่วงล่างหน้ามาในแบบแมคฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ หยุดกำลังม้าด้วยดิสเบรคหน้า-หลัง พร้อมระบบเบรค ABS ทั้ง 4 ล้อ

ภายนอกมาในมาดดุดัน เน้นความโค้งมนสไตล์อิตาลี เสริมความสปอร์ตด้วยชุดไฟรอบคัน LED ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดอัฉริยะ และปลดล็อคประตูด้วยปุ่ม Smart Key Lock ส่วนภายในติดตั้งหน้าปัดแสดงผลแบบ Supervision TFT LCD ขนาด 7 นิ้ว หน้าคอนโซลมากับเครื่องเสียง AV 8 นิ้ว รองรับ MP3, AUX, USB, Bluetooth และ Navigator เชื่อมต่อผ่าน Apple carplay และ Android พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน มัลติฟังก์ชั่น ควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจจากปลายนิ้ว เข้าถึงอารมณ์สปอร์ตด้วยชุดเปลี่ยนเกียร์แบบ Paddle Shift ด้านหลัง

ทางด้านความปลอดภัยและฟีเจอร์ช่วยในการขับขี่ 2018 Kia Stinger 2018 ก็มีการติดตั้งตามมาตรฐานเหมือนรถทั่วไป เช่น ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ม่านนิรภัย ระบบความปลอดภัย ABS (ป้องกันล้อล็อค), EBD (ควบคุมกระจายแรงเบรค), BA (เสริมแรงเบรก), AHLS (ไฟหน้าปรับระดับอัตโนมัติ), ESC (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), DTVC (ระบบควบคุมและกระจายแรงบิด), TCS (ป้องกันล้อหมุนฟรี), ISG (ระบบหยุด-สตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ, BSD (ระบบเตือนจุดอับสายตา) และ HUD (ระบบแสดงข้อมูลขับขี่บนกระจกบังลมหน้า) เป็นต้น

Kia Stinger 2018 สนนราคา 2,990,000 บาท และสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39‎ พิเศษ แถม KIA Care Plus Package ได้แก่ 1) รับประกันคุณภาพ 100,000 กิโลเมตร หรือ 3 ปี 2) บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 1 ปี และ 3) ประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี

Subaru XV

All New Subaru XV 2018

Subaru XV 2018 เป็นรถยนต์รุ่นล่าสุดของซูบารุที่ใช้ Subaru Global Platform (SGP) ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มที่ถูกพัฒนาใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่งและความปลอดภัย โดยโครงสร้างสามารถดูดซับแรงกระแทกจากการชนได้มากขึ้น 40% เทียบกับรุ่นก่อน เมื่อผสานกับรูปลักษณ์การดีไซน์ทั้งภายในและภายนอกที่หรูหราโฉบเฉี่ยวสไตล์ครอสส์โอเวอร์ อีกทั้งประหยัดน้ำมันได้มากยิ่งขึ้น จากการพัฒนาสมรรถนะครบทุกด้าน

Subaru XV 2018 ใหม่ ติดตั้งขุมพลังเบนซินสูบนอน (Boxer) รหัส FB20 ที่พัฒนาขึ้นใหม่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มกำลังอัดเป็น 12.5:1 (จากเดิม 10.5:1) ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT แบบ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical AWD และระบบ X-Mode สำหรับส่งถ่ายกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้านระบบความปลอดภัยถูกติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC) และระบบตรวจจับการหมุนของรถ (Active Torque Vectoring : ATV) ใช้เซนเซอร์ตรวจสอบตำแหน่งพวงมาลัย เมื่อเกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางหรือแรง G ระบบนี้จะสั่งการเบรกไปยังล้อหน้าที่อยู่ด้านในโค้ง และกระจายแรงบิดหรือ TORQUE สำหรับล้อที่อยู่ด้านนอกโค้งโดยอัตโนมัติ ทำให้ควบคุมการขับขี่ขณะเข้าโค้งได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังถูกติดตั้งถุงลมนิรภัย 7 จุด, เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ทั้ง 5 ตำแหน่ง, กล้องมองหลัง, ระบบกันขโมย Immobilizer และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เป็นต้น

Subaru XV 2018 มีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 6 สี ประกอบด้วย สีขาว, สีเงินเมทัลลิค, สีเทาเข้มเมทัลลิค, สีดำ, สีน้ำเงินเข้ม และสีส้มโทนใหม่ ซันไชน์ ออเรนจ์ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1.159 ล้านบาท

พบกับความยิ่งใหญ่ของโลกแห่งยานยนต์ได้ภายในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” (The 39th Bangkok International Motor Show 2018) ภายใต้แนวคิด “ปฏิวัติทุกการเคลื่อนไหว” หรือ Revolution in Motion” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2561 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี บัตรราคา 100 บาท เปิดให้เข้าชมเวลา 12.00-22.00 น. สำหรับวันธรรมดา และ 11.00-22.00 น.สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

ติดตามข้อมูลข่าวสารงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” เพิ่มเติมได้ที่
www.bangkok-motorshow.com | www.facebook.com/BangkokMotorshow

เสนอโดย
BANGKOK EVENT GUIDE

สื่อออนไลน์ แหล่งรวมรูปภาพ ข่าวสาร งานอีเว้นท์ และสาวๆ พริตตี้ไทย
บริหารงานโดย ชมรม PHOTO PRETTY CLUB
Website : www.bangkokeventguide.com
Facebook : www.facebook.com/bangkokeventguide

เนื้อเรื่อง / เรียบเรียง โดย
วงศ์สันต์ เจียรพร : www.facebook.com/iamthetitle

ภาพโดย
วงศ์สันต์ เจียรพร (TheTitle Photographer) : www.facebook.com/TheTitlePhoto

ขอบคุณ ข้อมูลจาก
บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงาน

http://bangkok-motorshow.com
เว็บไซต์ Sanook Auto โดย บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด
http://auto.sanook.com
เว็บไซต์ AutoSpinn โดย บริษัท iCarAsia จำกัด
http://www.autospinn.com
เว็บไซต์ 9CarThai โดย บริษัท รุ่งเรืองวงศ์ จำกัด
http://www.9carthai.com/

Share.

About Author

Leave A Reply